EP.3.2 around Tokyo (2)

EP.3.2 around Tokyo (2)

เรานั่งรถไฟมาลง Ueno (อุเอโนะ) ในหัวก็คิดไปด้วยว่า วันจันทร์จะกลับสนามบินยังไง  บัตรmetro ก็ใช้ได้ถึงแค่วันอาทิตย์ คงต้องไปตีกันกับตู้ขายตั๋วที่สถานี (เคยไปหยอดตู้กดตั๋วที่ MRT แต่กดแล้วตั๋วไม่ออก (หรือเราทำไม่เป็น) คนข้างหลังก็ต่อคิวรอ เลยเดินออกมาไม่ซื้อกับตู้แล้ว  ไปซื้อกับคนขายแทน ก็เลยฝังใจถ้าเลี่ยงซื้อกับตู้ได้ก็จะเลี่ยง ฮ่าๆ)  Ueno เป็นสถานีใหญ่รถไฟจากสนามบิน หรือจะไปต่างจังหวัดก็มาขึ้นที่นี่ได้ วันกลับเราคิดจะว่าจะนั่ง รถไฟKeisei skyliner กลับสนามบิน นั่งยิงยาวจากUeno ไปNarita ได้เลยไม่ต้องเปลี่ยนขบวน ก็ดีนะ ไม่หลง แต่แพง แพงก็นั่ง ดีกว่าตกเครื่องไม่มีตังค์ซื้อตั๋วใหม่บินกลับไทย เดินไปดูเคาท์เตอร์ขายตั๋วของKeisei เรียบร้อย เที่ยงกว่าแล้วยังไมได้กินอะไรเลย เลยเดินเข้าFamily mart ซื้อโดนัทกับน้ำเปล่า (ยี่ห้อเดิม ไม่กล้ากินยี่ห้ออื่น กลัวไม่ใช่น้ำเปล่า ฮ่าๆ) กินประทังชีวิต ไปก่อน เราจะไปเดินตลาด Ameyoko เป็นแหล่งขายของฝาก ขนม รองเท้า ไม่รู้ออกทางไหนเลยถามเจ้าหน้าที่สถานี
เรา : Ameyoko?
จนท. : (พาเดินไปทางขึ้น) up and turn left.
เรา : อาลิกาโตะ (ยิ้มสยาม 1 ที)
โผล่มาเป็นงี้

ข้ามถนนไปเลย

เจอแล้ว Ameyoko 

ถนนสะอาดดี คนเยอะแต่แทบไม่เห็นพวกขยะ ถุงพลาสติกเลย ได้ขนมมาเต็มเลย ซื้อไปฝากแฟนเพลงของเราที่เมืองไทยด้วย อิอิ ได้ร่มพับอันใหม่จากญี่ปุ่น อ่านเจอ เค้าบอกว่ามาญี่ปุ่นต้องซื้อร่ม เพราะร่มที่ญี่ปุ่นจะค่อนข้างแข็งแรง กันลมได้ดี  ไม่หักไม่งอไรงี้ ก็เลยได้ร่มพับมา1อัน ถนนนากามิเสะที่Asakusaก็มีขายแต่เราไม่ค่อยชอบ ไม่ค่อยมีน่ารักๆไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ หนักขนมมาก เลยจะกลับเอาของไปเก็บที่ห้องก่อน 
ขากลับเดินผ่านร้านขายผลไม้ มีสตรอเบอรี่ลูกโตๆเสียบไม้ แคนตาลูปไรงี้ เค้าจะเสียบไม้นะ ไม่ใส่ถุง แคนตาลูปไม้ละ100เยน มาถึงญี่ปุ่นขอกินสตรอเบอรี่หน่อยละกัน ลูกโตๆอวบๆ3ลูก เสียบไม้เรียงกัน ไม้ละ200เยน จัดไป ได้มาไม้นึงยืนกินหน้าร้าน พริกเกลือไม่มีนะ  ก็ดีนะในแง่ของขยะ ไม่เปลืองถุง กินเสร็จก็ทิ้งไม้ มีถังขยะสี่เหลี่ยมเล็กๆวางอยู่หน้าร้าน  
เดินแบกขนมมุดลงใต้ดิน ญี่ปุ่นเค้าจริงจังกับการแยกขยะมาก อันนี้เรารู้ เราเรียนมา  (วิชานี้ได้ D+  ..แล้วแกจะบอกเกรดทำไมเนี่ย  อายเค้ามั้ย ฮ่าๆ) คือหน้าร้านสะดวกซื้อ สนามบิน  ตามสถานีรถไฟใต้ดินเค้าจะมีถังขยะประมาณนี้ แยกขวด/พลาสติก/กระดาษ/อื่นๆ ประมาณนี้  อย่างอันนี้อยู่ที่สถานีUeno ถังแรกจะเป็นพวกขวด/กระป๋อง ถังสองเป็นพวกพลาสติก ถังสามเป็นหนังสือพิมพ์/แม็กกาซีน  มีผู้หญิงคนนึงเอาแม็กกาซีนมาทิ้ง  ลองมองดูในถังเค้าก็ทิ้งแยกจริงๆนะ ไม่มั่วไม่ปนกัน ขวดก็ขวด กระดาษก็กระดาษ

นั่งแป๊บเดียวมาถึงAsakusa โผล่ผิดทาง มาเจอวิวนี้แทน เป็นTokyo sky tree กับ ตึกเบียร์Asahi  เห็นเหลืองๆคือก้อนฟองเบียร์นะ  อยากเดินไปถ่ายรูปแต่หนักขนม เลยไม่ไปละ ตอนเย็นจะไปรอถ่ายรูปTokyo Tower ชอบจริงไรจริง 

เดินผ่านถนนนากามิเสะ ช่างต่างจากตอนเช้าที่เราเดินออกมา นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด ร้านซาลาเปาทอดขายดีมาก  เราไปจัดมาอีกละ2ลูก มาสองวันละ เดินผ่านทุกวันแต่ยังไม่ได้ขอพร เสี่ยงเซียมซีเลย เดี๋ยวเอาของไปเก็บจะออกมาเสี่ยงเซียมซี

4โมงเย็นแล้ว เร็วมากๆ คนเยอะมากๆ เรามากวักควันธูปเข้าหาตัว ตรงกระถางธูปตรงนี้ ว่ากันว่าจะทำให้โชคดี หายจากโรคภัยไข้เจ็บ บ้างก็บอกว่าถ้ากวักควันธูปเข้าหาตัวจะได้กลับมาญี่ปุ่นอีก (เรานี่กวักใหญ่เลย จะได้มาญี่ปุ่นอีก)

แล้วก็ขึ้นไปด้านบนอาคารเพื่อสักการะเจ้าแม่กวนอิม แล้วก็เสี่ยงเซียมซี  กระบอกเซียมซีญี่ปุ่นเป็นกระบอกเหล็ก ปิดหัวปิดท้ายแล้วเจาะรูตรงท้าย  เขย่าขึ้นลงให้ไม้หล่นออกมา ไม้หล่นออกมา เป็นภาษาญี่ปุ่น ไม่มีเลข น้ำตาจะไหล ได้เบอร์อะไรเนี่ย?? มีสาวญี่ปุ่นใจดียืนอยู่ข้างหลังเรา เค้าดูให้ แล้วก็หยิบใบเซียมซีให้ ใบเซียมซีมีคำแปลภาษาอังกฤษ เสี่ยงเซียมซีหยอดตังค์ด้วย 100 เยน  ของเราได้ใบดีก็ให้เก็บไว้กับตัว ถ้าได้ใบไม่ดีจะมีราว แล้วก็เอาใบเซียมซีไปผูกไว้ ความโชคไม่ดีจะได้ไม่ตามเราไป

คิวต่อไป รีบไปAkihabara อยู่ไม่ไกลจากAsakusa เรามาญี่ปุ่น อยากได้ไม้กลอง made in Japan หาในเน็ทมีร้านขายเครื่องดนตรีอยู่ร้านนึงแถวAkiba (Akihabara เรียกสั้นๆว่า Akiba) ชื่อร้านMusic vox ร้านค่อนข้างใหญ่ มี8ชั้น ต้องมีไม้กลองขายชัวร์ ลงAkihabara โผล่มาเป็นแบบนี้ ย่านนี้เค้าจะขายพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า โมเดล เกม การ์ตูน  โผล่มาไม่เจอร้า Music vox  เลยเดินวนๆแถวสถานีรถไฟ ไปเจอห้างนี้ Yodobashi 

เลยเข้าไปดูหน่อยเพราะสาขาที่Shinjukuไม่ได้เข้าไปดู มีประชาสัมพันธ์อยู่ตรงประตูทางเข้า เลยไปถามเค้า
เรา : I want drumstick.  (ทำท่าตีกลอง)
ประชาสัมพันธ์ : (หยิบโบรชัวร์ให้ดู ชี้ว่าชั้น 6 มี ร้านขายเครื่องดนตรี) 6floor
เรา : (ดีใจใหญ่เลย มีขายด้วย เย่!! ) อาลิกาโตะ
ข้างๆมีลิฟท์ มีคนกำลังรอขึ้นลิฟท์ อยู่ตั้งชั้น6 เลยขึ้นลิฟท์ละกัน ตอนแรกคิดว่าห้างนี้ไม่มีบันไดเลื่อนเหรอ เพราะคนรอขึ้นลิฟท์เยอะ เราก็ขึ้นไปกะเค้า มาถึงชั้น6 เจอโซนที่เค้าขายพวกเปียโน คีย์บอร์ดไรงี้  มีไม้กลองขายด้วยแต่ไม่มียี่ห้อที่เราอยากได้ เลยยังไม่ซื้อ 



จะค่ำแล้ว เดี๋ยวแสงจะหมดก่อน รอไปถ่ายรูปTokyo Tower ตอนกลางคืน ไฟสีส้มในตำนาน ต้องไปเห็นกับตา จากAkihabara ไปลง Kamiyacho ลงปั๊บ เดินตามป้ายออกมาเลย(จำไม่ได้ว่าexitไหน) โผล่ขึ้นมาเลี้ยวซ้าย เดินตรงมาเรื่อยๆ มองหอยอดTokyo Tower จะอยู่ฝั่งซ้ายมือ เจอยอดละ เดินขึ้นสะพานลอยไปถ่ายรูป

เดินตรงไปอีกเจอแล้ว 

ไม่อาจละสายตา

ถ่ายอีก

สวยจัง อากาศหนาว ยืนดูTokyo tower  ใครที่เลี้ยวมาแล้วเจอแบบเรา  ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปทั้งนั้น: )

หกโมงครึ่งมืดแล้ว หนาวด้วย เมื่อยด้วย กลับAsakusaดีกว่า พรุ่งนี้ไปลุ้นกันว่าจะได้เล่นหิมะมั้ย?
มื้อเย็นกินแมคที่เดิม  จะกลับที่พักเดินผ่านวัดSensoji เรายกมือไหว้ขอพรบอกว่าขอให้พรุ่งนี้หนูได้เล่นหิมะด้วยนะคะ  เดินเข้ามาเจอมูทู  คุยโทรศัพท์อยู่หน้าลิฟท์ เมื่อวานก็เจอ เหมือนมูทูจะอยู่โฮสเทลตลอดเลย บางทีก็สงสัยว่ายูไม่ออกไปเที่ยวเหรอ? (แล้วไปยุ่งอะไรกะเค้าเนี่ย ฮ่าๆ
กลับถึงห้อง มีเพื่อนใหม่มาพักเตียงบนตรงข้ามกับเรา เป็นสาวญี่ปุ่น ตอนแรกงง ทำไมไม่นอนบ้านตัวเอง อ๋อ เค้าเพิ่งมาจากสนามบินเพิ่งมาจากอเมริกา เลยแวะเที่ยวโตเกียวก่อนค่อยนั่งบัสกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ตอนแรกดีใจนึกว่าจะมีเพื่อนนั่งรถไฟกลับสนามบินด้วยกันแล้ว ลืมถามชื่อ ขอเรียกว่า อายูมิ ละกันนะ อายูมิ เป็นวัยรุ่นญี่ปุ่น น่าจะ20ต้นๆ พูดอังกฤษปนญี่ปุ่น  ถ้าอายูมินึกอังกฤษไม่ออกจะพูดญี่ปุ่นใส่เรารัวๆเลย  เราหาร้านขายไม้กลองไม่เจอเลยเอาเว็บ ที่มีแผนที่ร้านแคปมาจากในเน็ท เอาให้อายูมิแปลให้ เว็บเป็นภาษาญี่ปุ่น ชั้น1-2 ขายกีต้าร์  ชั้น3 ขายกลอง  เราก็ แอร๊ยย!! ดีใจ มีไม้กลองขายชัวร์ ดูจากแผนที่ อายูมิบอกว่า ยูออกmetro exit 2 เลี้ยวซ้าย แล้วก็เลี้ยวขวาแยกแรก ร้านจะอยู่แถวๆFamily mart เราก็โอเค เข้าใจเดี๋ยวพรุ่งนี้ไปหาไม้กลองหลังกลับจากKawaguchiko  อายูมิถามว่าเรามาจากไหน  เราให้อายูมิทาย  อายูมิบอกว่าเราเป็นคนอินโด  ทายไปทายมากว่าจะทายถูกว่า ไทยแลนด์ ฮ่าๆ อายูมิบอกว่าเราไม่เหมือนคนทำงาน  อายูมิบอกว่าเราเหมือนเด็กมหาลัยมากกว่า  เพราะเห็นเราพูดไปแล้วชอบทำไม้ทำมือไปด้วย เหมือนเด็ก alert  (จริงๆไอนึกศัพท์ไม่ออกนะอายูมิ ฮ่าๆ) แล้วอายูมิก็ชวนเราไปข้างนอก แต่ไม่เข้าใจที่อายูมิพูดเท่าไหร่ เห็นเอาเป้ไปด้วย เรางง สามทุ่มยังจะออกไปอยู่เหรอ? แต่ไม่รู้ว่าอายูมิออกไปไหนอีก เราบอกว่า เราเหนื่อยเราจะอาบน้ำแล้วก็นอน พรุ่งนี้ไอจะไปเล่นหิมะนอกเมือง อายูมิออกไปแล้ว เหลือแต่เรา  อาบน้ำ สระผม ดูพยากรณ์อากาศ ครุ่นคิด บินมาตั้งไกล ค่าตั๋วนี่ทุ่มสุดตัว จะไม่ตกลงมาให้เห็นเลยเหรอ หิมะ!! > < 
แล้วเอนรี่กับซาร่า(แฟนเพลงชาวนอร์เวย์ของเรา)ก็กลับมา
เอนรี่ : ยูเห็นหิมะมั้ย?
เรา  : ไม่ วันนี้ไอไม่ได้ไปKawaguchiko ไอเปลี่ยนแผน วันนี้ไปเปลี่ยนตั๋วมา ไอจะไปพรุ่งนี้แทน  เพราะพยากรณ์บอกว่าวันนี้อากาศดี แต่จะมีหิมะตกคืนนี้ไปจนถึงเช้า แล้วก็เปลี่ยนเป็นฝนตกทั้งวัน
เอนรี่ : อ๋อ พรุ่งนี้ที่โตเกียวก็ฝนตกทั้งวันเหมือนกัน เดินเที่ยวไม่สนุกแน่ๆ เปียกแน่ แล้วยูรู้มั้ยว่าที่Kawaguchiko อุณหภูมิเท่าไหร่?
เรา : ในเว็บบอกว่า 1 องศา
เอนรี่ : 1องศาเหรอ? ถ้า 1องศาหิมะจะตกนะ
เรา : จริงเหรอ? ขอให้ตกลงมาเยอะๆเลย (สาธุ) ไอดูคลิปวิธีปั้นsnow man ในyoutube  ไอจะไปปั้นsnow man ฮี่ๆๆ
เอนรี่ : ขอให้หิมะตกลงมาเยอะๆนะ
เรา : ไอก็หวังอย่างงั้น ตกลงมาเยอะๆเล้ย (ยิ้มอย่างมีความหวัง ฮี่ๆๆ)
เอนรี่ :  แล้ววันนี้ยูไปไหนมาบ้าง?
เรา : อ๋อ ไอไปชอปปิ้งแทน
เอนรี่ : ยูซื้ออะไรมาบ้าง?
เรา : (ชี้ไปที่ถุงขนมที่แบกมาจากUeno) ก็พวกขนม คิทแคท ป๊อกกี้  ไอซื้อไปฝากที่บ้าน ฝากเพื่อนๆ(แล้วก็แฟนเพลงที่เมืองไทยของไอ ฮ่าๆ)
เอนรี่ (ท่าทางอึ้งกับขนมว่าซื้อกลับไปเยอะขนาดนี้เลยเหรอ? ฮ่าๆ)
ดูเหมือนว่าฝรั่งเค้าไม่ซื้อของฝากกันเท่าไหร่นะ เช่นตอนไปกระบี่ก็เห็นแต่คนไทยนะหิ้วถุงของฝากขึ้นเครื่อง ฝรั่งเค้าเดินตัวปลิวแบกเป้ชิวมาก สำหรับเราการซื้อของฝากมันเป็นความสุขอย่างนึง เพื่อนเค้าไม่ได้มากับเรา แต่เราเห็นว่าแปลกดี ที่ไทยไม่มี ก็อดไม่ได้ที่จะซื้อ ตอนแบกกลับ หนักมั้ย? หนัก! แต่คิดว่านานๆมาที เรามีความสุขที่ได้ซื้อฝาก เราก็ซื้อ ไม่คิดอะไรมาก : )  เอาล่ะนอนๆ พรุ่งนี้จะได้ไป Kawaguchiko ละ ขอให้เจอหิมะ แบบกองข้างทางก็ดีใจแล้ว เพราะหลายเว็บบอกเหมือนกันหมดว่า Rain 100% โอ๊ย!! เปลี่ยนฝนเป็นหิมะได้มั้ย ฝนตกเคยเห็นแล้ว แต่หิมะยังไม่เคยจริงๆ  มาญี่ปุ่นเพื่อสิ่งนี้เลยนะเนี่ย > <
ไปเอาใจช่วยกันว่ามาญี่ปุ่นครั้งแรกเราจะได้เห็นหิมะมั้ย?

โปรดติดตามตอนต่อไป

 >> EP.4.1 ตามหาหิมะที่ Kawaguchiko  : ) คลิก>>http://arrowinjapan.blogspot.com/2015/04/ep41-kawaguchiko-1.html

EP.3.1 around Tokyo (1)

EP.3.1 around Tokyo (1)

วันเสาร์ที่ 28 กุมภา เราตื่นเช้ามาก ตีห้ากว่าๆ ฟ้ายังไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่ วันนี้เราเปลี่ยนแผน ความจริงต้องไปเล่นหิมะที่ Kawaguchiko แต่พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้อากาศดีมาก แต่!! จะมีหิมะตกคืนนี้ ยาวไปจนถึงเช้าวันอาทิตย์  เราเปลี่ยนแผนไปKawaguchiko วันพรุ่งนี้ แล้วเอาโปรแกรมทัวร์ของวันอาทิตย์มาไว้วันนี้แทน วันนี้จะไปเที่ยวรอบๆโตเกียว จะเก็บหมดทุกที่มั้ย ต้องไปดูกัน : )
คิวแรกคือรีบไปยกเลิกตั๋วรถบัสที่จองไว้วันนี้ก่อน  รถออก 08.40 . หกโมงเช้าเราเดินออกมาคนเดียว ไม่มีคนเลย แต่ไม่น่ากลัว ลมพัดมาหนาวมากๆ เราแทบจะครองถนนนากามิเสะ เดินมาคนเดียว ร้านค้ายังไม่เปิด เดินมาจนถึงโคมแดงหน้าวัด ไม่มีคนเลยแฮะ อยากถ่ายรูป มองไปเห็นตำรวจญี่ปุ่นคนนึงยืนอยู่ริมถนน อยากให้เค้าถ่ายให้แต่เกรงใจ ยังไม่ทันได้อ้าปาก ก็มีรถตำรวจมารับเค้าไปแล้ว  สักพักมีหนุ่มญี่ปุ่นเดินมาคนเดียว ฮี่ๆๆ ได้เรื่องละ
เรา : ซูมิมาเซน (ยิ้มสยาม ยื่นกล้องให้ ชี้ๆตรงชัตเตอร์ แล้วชี้ๆตรงโคมแดง)
หนุ่มญี่ปุ่น : #$^$%&^*())$ (พูดภาษาญี่ปุ่น) หยิบกล้องไปถ่ายให้ แล้วเค้าก็นับ นัน-โน-เนะ
ประมาณนี้ น่าจะพูดประมาณว่า 1-2-3 ประมาณนี้มั้ง  น่ารักอ่ะ !!  จัดไป 4-5 ช็อต เช็ครูปจนพอใจ เราก็อาลิกาโตะเค้าตามระเบียบ อยากถ่ายเยอะกว่านี้ แต่กลัวเค้ารีบไปทำงาน  เดินมุดลงใต้ดินค่อยอุ่นขึ้นหน่อย นั่งยาวๆไปShinjuku ไปยกเลิกตั๋วของวันนี้ แล้วเปลี่ยนตั๋วเป็นวันพรุ่งนี้ เจ้าหน้าที่บอกว่า ตั๋วของวันพรุ่งนี้ ยูต้องไปซื้อที่ชั้น2 แต่จะเปิดตอน 9 โมง ตอนนี้เพิ่งเจ็ดโมงกว่าๆ ยังไม่แปดโมงเลย ก็เลยจะไปเดินเล่นนี่อื่นก่อนค่อยกลับมาซื้อตั๋วตอน9โมง

ไปไหนดีล่ะ?

หยิบแผนที่subwayขึ้นมาดู  สถานีShinjuku เชื่อมกับsubway สายToei ไปลงสถานี Akabanebashi ได้  ไม่ไกลมาก ก็เลยจะไปถ่ายรูปกับTokyo tower ก่อน เป็นหอคอยสีส้มๆ ดูปุ๊บรู้เลยว่าที่นี่โตเกียว เราชอบTokyo Tower มากกว่า Tokyo sky tree นะ ไปหาTokyo Towerดีกว่า ลงไปใต้ดิน ยังเช้าอยู่ งงๆหน่อย ง่วงๆหนาวๆ (ตกลงแกตื่นรึยัง ฮ่าๆ) เรานั่งรถไฟผิดฝั่ง ไปยืนผิดplatform เห็นรถไฟมาก็โดดขึ้นเลยจ้า รู้ตัวอีกตอนประกาศในรถไฟ มันคนละทางกับที่เราจะไป เราก็เฮ้ย! โดดลงดิ เดี๋ยวจะยาว ฮ่าๆ ตั้งสติลูก จูนก่อน จูนๆ ดูป้ายดีๆ แล้วไปนั่งกลับไปใหม่ โอเคถูกทาง  ฮ่าๆ (ที่ซื้อบัตรรถไฟฟ้าแบบเหมาเพราะงี้แหละ ถ้าหลงก็นั่งกลับไปกลับมาได้)
ถึงละสถานี Akabanebashi  ไปTokyo Tower ให้ออก Exit Akabanebashi ตามป้ายไปเลย

 โผล่ขึ้นมาเป็นแบบนี้ ที่เลือกมาลงสถานีนี้เพราะว่า เป็นสถานีที่โผล่ขึ้นมา จะเจอTokyo Towerเลย โผล่มาเป็นงี้  Tokyo Towerอยู่ไหนล่ะ

 เขยิบมาทางขวาแค่2ก้าว จะเป็นแบบนี้  เจอแล้ว Tokyo Tower !!!

ยังเช้าอยู่เป็นเช้าวันเสาร์ซะด้วย ไม่ค่อยมีคน อยากถ่ายรูปจัง มีคุณลุงญี่ปุ่น สะพายกล้องอยู่ตรงหัวมุมถนนพอดี เลยให้คุณลุงถ่ายให้ ได้ช็อตงามๆหลายช็อตเลย ว่ากันว่าเทคนิคในการเลือกคนถ่ายรูปให้เรา ให้เลือกคนที่สะพายกล้องตัวใหญ่ๆ เพราะเค้าเล่นกล้องน่าจะถ่ายรูปเป็น ถ่ายรูปสวย หามุมสวยๆได้ จัดไปจนเราพอใจ อยากถ่ายเยอะๆแต่เกรงใจ (หลายช็อตนี่คือเกรงใจ ฮ่าๆ) อาลิกาโตะคุณลุงค่า  เดินๆไปดูTokyo Tower ยังเช้าอยู่ รถแทบไม่มี ถนนโล่งมาก 

ข้ามถนนที่ญี่ปุ่นรอสัญญาณไฟก่อนนะ เสียงสัญญาณไฟที่ญี่ปุ่นจะดัง พิ่วๆๆ เหมือนเสียงคนผิวปากประมาณนี้ มาวันแรกยังงงๆ นึกว่าเสียงนกที่ไหน พิ่วๆๆๆ ฮ่าๆๆ แต่ที่ฮ่องกงจะดังติ๊กๆๆๆๆ” 


ถนนที่ญี่ปุ่นดีมาก เรียบมาก มีทางจักรยานด้วย 


 เดินลัดสวนไปหาTokyo Tower  ยาวไปๆ




ถ่ายรูปTokyo Tower จนพอใจ เดี๋ยวตอนเย็นมาถ่ายใหม่ รอดูตอนเปิดไฟสีส้ม ชอบTokyo Towerมาก ไม่รู้ทำไม : ) เดินย้อนกลับมาทางเดิมเพื่อลงรถไฟใต้ดิน มีเรากับคุณลุงคนนึงเดินจูงน้องหมามาด้วย กำลังข้ามถนน มีรถเบนซ์คันนึงเลี้ยวมาพอดี เค้าหยุดรถให้เลยอ่ะ!!  สุดยอด ! รถเกรงใจคนมากๆ นอกจากสิงคโปร์ก็เห็นที่โตเกียวนี่แหละ ที่รู้สึกว่ามาแล้วจะไม่โดนรถชนตายที่นี่แน่นอน !! โปรแกรมต่อไปคือ ไปถ่ายรูปกับแมงมุมยักษ์ ที่ Roppongi เดินวนๆอยู่นาน ถ้าเป็นสาย Toei ไม่รู้ออกexitไหน เลยวนเข้าไปสถานี Metro ถ้านั่งmetroมา จะออก exit 1C จะเจอบันไดเลื่อนยาวๆ แบบนี้


โผล่ขึ้นมาเจอเลยแมงมุมยักษ์  อากาศดีมากและลมแรงมาก โตเกียวหนาวมาก ไม่มีใครเดินผ่านมาทางเราเลย ไม่มีคนถ่ายรูปให้

 เลยจัดเซลฟี่เองเลย 20 ช็อท รัวๆ อิอิ มีดอกไม้ด้วยสวยจัง


9โมงเรากลับไปที่Shinjuku อีกครั้ง เพื่อซื้อตั๋วไปKawaguchikoวันพรุ่งนี้ เดินขึ้นไปชั้นสอง ไม่มีคนเลย คงเช้าอยู่ มีแค่คุณลุงเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว ลุงเจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้ บอกชื่อ เลือกวันเวลา แล้วก็จ่ายตังค์ ค่าตั๋วไปKawaguchiko เที่ยวละ 1750 เยน ไป-กลับก็ 3500 เยน ได้ตั๋วแล้ว สถานีต่อไปคือ ศาลเจ้าเมจิ ที่ Harajuku ไปขอพรที่ศาลเจ้ากัน จาก Shinjuku > Shinjuku sanchome > Meiji-Jingumae  ที่อ่านมา ให้ออก exit 2 เราก็เดินโผล่ขึ้นมา แต่ไม่เห็นว่ามีตรงไหนจะเป็นทางเข้าศาลเจ้าเลย เห็นแต่ตึก เลยไม่ชัวร์ ออกทางนี่ป่าว ไม่รู้จะถามใคร มุดลงใต้ดินไปใหม่ ไปsearch ในgoogleแป๊บ  ใน subway ที่โตเกียวมี Free-wifi เร็วและแรง เล่นได้ประมาณ15นาที (มั้ง ) เพราะเราเล่นแค่แป๊บเดียว (วิธีใช้คือเปิดWi-fi แล้วจับสัญญาณ Tokyo-Metro จะให้เราใส่ E-mail แล้วก็กด accept ไปเรื่อยๆ ก็เล่นได้แล้ว ไม่ถงไม่ถามpasswordซักคำ  ดีจังเลย)  ดูในเน็ทก็บอกให้ออก Exit2 นะ เลยเดินขึ้นมาใหม่ ก็ยังไม่รู้จะเดินไปทางไหน เลยถามกลุ่มน้องผู้หญิงญี่ปุ่น ยืนคุยกันสามคนข้างๆเรา
เรา : ซูมิมาเซน (เอารูปศาลเจ้าเมจิในโทรศัพท์ให้ดู)
น้องกลุ่มนี้พูดอังกฤษได้นิดหน่อย แล้วก็ปรึกษากันเป็นภาษาญี่ปุ่น ประมาณว่าศาลเจ้าอยู่ไหน คนนึงชี้ไปทางซ้าย อีกคนชี้ไปทางขวา เราก็งงสิ จนสุดท้าย น้องกวักมือเรา พาไปดูแผนที่ ปรากฏว่า  ทางเข้าศาลเจ้าอยู่ด้านหลังตรงที่พวกเรายืนอยู่นี่เอง ฮ่าๆ น้องมีน้ำใจมาก ไม่ทิ้งเรา ช่วยเต็มที่ เราก็อาลิกาโตะขอบคุณน้องๆ

เดินเข้ามาจะเป็นถนนก้อนกรวด สองข้างทางเป็นต้นไม่ใหญ่ร่มรื่นมากๆ ลมก็พัดหนาวมากๆ  ไม่คิดว่าในโตเกียวจะมีต้นไม้เยอะขนาดนี้ เป็นป่าเลยก็ว่าได้ ทางเดินเข้าศาลเจ้าค่อนข้างไกล แต่วันนี้อากาศดีมากๆเดินชิวๆ นักท่องเที่ยวเยอะเหมือนกัน ถ้าเดินคนเดียวคงจะหลอนมิใช่น้อยนะเนี่ย > <

เดินมาเรื่อยๆ จนถึงทางเข้า แสดงความเคารพด้วยการล้างมือและบ้วนปากตรงนี้


 เดินเข้าด้านในจะมีแผ่นป้ายขอพร แขวนอยู่ใต้ต้นไม้


 เลยเดินไปซื้อที่ซุ้มด้านข้าง แผ่นละ 500 เยน ได้มาแล้ว


เขียนขอพรกัน ให้ทายว่าเราขอพรว่าอะไร อิอิ ของเราแขวนไว้ไหนน๊า มีหลายภาษา ทั้งญี่ปุ่น อังกฤษ จีน เกาหลี รวมถึงภาษาไทย

เขียนเสร็จแล้ว เราเดินขึ้นไปบนอาคารหลักของศาลเจ้า อ่านมาคร่าวๆ เหมือนต้องโยนเหรียญเข้าไปในรางไม้ แล้วก็ตบมือ แล้วก็โค้งคำนับประมาณนี้ เห็นป้ายแปะว่าห้ามถ่ายรูป เลยไม่ได้ถ่ายตรงนี้มา มีรูปกับภาษาอังกฤษแปะอยู่ว่าให้ทำความเคารพยังไง เราแปลไม่ออก ฮ่าๆ เลยยืนดูคนข้างๆว่าเค้าทำยังไง ขั้นตอนคือ โยนเหรียญ 1 ครั้ง ตามด้วยโค้งคำนับ2ครั้ง ตบมือ2ครั้ง ขอพร และก้มโค้ง1ครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี ขอพรเรียบร้อยแล้ว ใกล้จะเที่ยงแล้ว โห เร็วจัง ออกมาตั้งแต่6โมงเช้า ว่าจะไปกินเครปที่ ถนน Takeshita อ่านว่า (ทาเคชิตะ) เป็นเราคงอ่านว่า เทค-ชิ-ตะ ฮ่าๆ (ไม่มีเซนท์ความเป็นญี่ปุ่นเล้ย ) ไม่ไปกินเครปละ มีคิวชอปปิ้งต่อที่ ยูโน่ (Ueno) อ่านว่า อุเอโนะ  นะทุกคน : )



EP. 2.4 วิ่งเล่นที่ Shibuya

EP. 2.4   วิ่งเล่นที่ Shibuya

ตอกแรกโปรแกรมทัวร์วันนี้จะเป็น Shinjuku Harajuku - Shibuya แต่กว่าจะเข้าเมือง เก็บของที่พัก ปาไปบ่ายสองกว่าแล้ว เลยตัดHarajuku ออกไป วันนี้เลยแค่แวะไปดูคิวรถบัสกับ ไปเดินข้าม5แยก Shibuya ในตำนาน
เคยเห็น5แยก Shibuya ตอนอยู่ม.3 ในหนังFast ภาค3  Tokyo drift เคยได้ยินแต่สี่แยก นี่มีห้าแยกด้วยเหรอ    
ในฉากนั้นเจ๋งมากๆเลยนะ ขับยังไงไม่ให้ชนคน คนเยอะมาก  เดี๋ยวเย็นนี้ไปวิ่งเล่นที่ 5 แยกShibuya

เราเดินจากคิวรถบัส หน้าห้างYodobashi จะมุดลงรถไฟฟ้าใต้ดินทางเดิม  แต่ก่อนมุดลง เราเห็นคนญี่ปุ่น กลุ่มใหญ่ ประมาณเกือบ 20 คนอ่ะ มุงอะไรกันไม่รู้ ด้วยความอยากรู้ของเรา (งานเผือกต้องมา ฮ่าๆ) ก็เลยไปมุงกะเค้า นึกว่ามีคนตีกัน  หรือมีโชว์อะไรซักอย่างรึเปล่า พอไปยืนๆซักพัก ไม่เห็นมีอะไรเลย ทำไมเค้าต้องรวมกลุ่มกันตรงนี้ด้วย ชะเง้อดูไปด้วยว่ามุงอะไรกันอ่ะ ซักพักเราเริ่มเกิดอาการ ตึ้บ! กลิ่นบุหรี่ ตึ้บเลย เลยเริ่มสังเกต คนกลุ่มนี้ ผู้หญิง ผู้ชาย วัยรุ่น คนแก่ ทุกคนคีบบุหรี่หมดเลย ก็เลยถึงบางอ้อ อ้อ!  Smoking area นั่นเอง ! ฮ่าๆ ตั้งแต่มาจะเห็นคนญี่ปุ่น เดินกันฉับๆ เดินเร็วมากๆ ไม่เคยเห็นเค้าอยู่กันเป็นกลุ่มแบบนี้ ไอ้เราก็นึกว่ามีคนตีกัน  ที่แท้เค้ายืนสูบบุหรี่กันนี่เอง  แต่เค้ามีระเบียบวินัยดีนะ ยืนสูบในที่ที่ให้สูบ ไม่เดินไปสูบไป เดินออกมาจากวงเงียบๆพร้อมขำตัวเองไปด้วย ฮ่าๆ เรามุดลงใต้ดินอย่างมั่นใจเพื่อไปขึ้นรถไฟ จะไป Shibuya เดินตามป้ายsubway ไปอย่างมาดมั่น ฉับๆ ปรากฏว่าป้ายหายไปละ อ้าว!เราอุตส่าห์เดินกลับทางเดิม สุดท้ายเดินวนๆ มาเจอโถงโล่งๆที่เดิม สรุปคือ หลงจ้า  ไม่รอดอ่ะ!  ว่ากันว่าถ้าไม่หลงที่Shinjuku ถือว่ามาไม่ถึงโตเกียว วันนี้เรามาถึงโตเกียวเต็มตัวแล้วนะ เพราะหลงแล้ว ฮ่าๆ เอ้า! เดินไปใหม่ ลงมาใต้ดินจนได้ จากShinjuku ไปShibuya นั่งตามนี้
Shinjuku > Shinjuku sanchome > Shibuya นั่งแป๊บเดียว เพราะสองที่นี้ไม่ไกลกันมาก มาถึง Shibuya ประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง  5แยก Shibuya ให้ออกExit 8 โผล่ขึ้นมาจะเจอ โบกี้รถไฟสีเขียว ด้านในมีหนังสือให้อ่านด้วย


 ตรงข้ามโบกี้เป็น รูปปั้นฮาจิโกะ   

ส่วนห้าแยกShibuya ในตำนานก็อยู่ตรงนี้นี่เอง !! ตึกฝั่งตรงข้ามตรงหน้าเรา คือ Tsutaya ชั้น2 จะเป็นStarbucks

มองไปขวามือ จะเป็น เห็นเป็นรางรถไฟ JR

ตอนแรกจะเดินข้ามห้าแยก เดินข้ามไปเดินข้ามมา แบบอยากมีส่วนร่วมอ่ะ แล้วก็ไปกินStarbucks ที่ชั้น2 จะได้ดูวิว คนเดินข้ามห้าแยกด้วย แต่มองขึ้นไปแล้ว เต็มจ้า เลยไม่กินก็ได้ เดี๋ยวจะพาไปแวะ ร้านMugiwara เป็นร้านขายเอฟวี่ติง จิงเกอเบล เกี่ยวกับOne piece แผนที่ไม่มี กะมาถามคนแถวนี้ ฮ่าๆ ร้านจะอยู่ที่ห้าง Parco แต่ห้างนี้มีสามตึก ร้านMugiwara จะอยู่ Parco Part1 เราเซฟรูปห้างParco Part1 ไว้ในโทรศัพท์ กำลังรอข้ามแยก เลยลองถามน้องนักเรียนญี่ปุ่นผู้หญิงที่ยืนข้างๆกัน


เรา : ซูมิมาเซน (ยื่นโทรศัพท์ให้ดูรูปแล้วชี้ๆรูป  ใบ้เต็มที่)
น้องนักเรียน : Can you speak English?
เรา : Yes, จัดมาเลย
น้องนักเรียน : ตรงไป เลี้ยวซ้าย ห้างอยู่ซ้ายมือ
เรา : อาลิกาโตะ (ยิ้มสยามไป 1 ที)

เดินข้ามแยกมา ถ้าหันหน้าเข้าตึก Tsutaya ให้เดินไปถนนฝั่งขวามือเรา ฝั่งที่พระเอก drift มาฝั่งนี้ตามลูกศรในรูป


เราเดินมาเรื่อยถึงแยกแรกซ้ายมือ มองเข้าไปไม่เห็นห้างParco เลยถามผู้หญิงญี่ปุ่นที่ยืนข้างๆกัน  เอารูปให้ดูเหมือนกัน แล้ว ชี้ๆ  เค้าถามเราว่าเราพูดอังกฤษได้มั้ย เราก็โอเค ได้ๆ เค้าบอกตรงไปอีก ห้างอยู่ซ้ายมือ
สรุป ข้ามมาแล้วให้เดินอีก 2 แยก ห้างอยู่แยกที่2 ซ้ายมือ
เจอแล้ว Parco

คนไทยมาเยอะจริง มีภาษาไทยด้วย

ห้างนี้แหละ ไม่ผิดแน่ เข้าไปกันเลย

ขึ้นบันไดเลื่อนมาชั้น6  ร้านอยู่ติดกับบันไดเลื่อนเลย

ในร้านมีของให้เลือกเยอะ ใครชอบ One piece  ก็ฟินกันไป

หลังจากเดินหลงที่Shinjuku ยังไม่ได้นั่งเลย  เลยเดินลงบันไดเลื่อน เจอโซฟา พร้อมกับ คำว่า Free Wi-Fi สวรรค์มาโปรด ขออัพรูปทักทายแฟนเพลงที่เมืองไทยแป๊บ หลังจากเมื่อคืนเวิ่นเว้อมากที่สุวรรณภูมิ ป๊อดจัด ไม่กล้ามา กลัว บลาๆ สุดท้ายก็มาจนได้ เราตัดสินใจไม่ผิดอย่างแรงที่มา แฮปปี้มาก โตเกียวหนาวมาก ฮ่าๆ นั่งพักเหนื่อยก็เดินกลับไป 5แยก ไปนั่งเล่นดูคนข้ามถนน คนข้ามเยอะ แต่เค้าเดินไม่ชนกันเลยนะ 


มาถึงวันแรก อย่าจัดหนักมาก ยังงงๆกับเวลาอยู่ ที่ญี่ปุ่นจะเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง 5โมงครึ่งเริ่มมืดแล้ว หน้าหนาวมืดเร็ว กลับดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นไปขึ้นรถไป Kawaguchiko เรานั่งรถไฟกลับมาที่ Asakusa หกโมงครึ่งโตเกียวมืดแล้ว นักท่องเที่ยวที่วัดเซ็นโซจิเริ่มทยอยกลับ ไม่เหมือนตอนกลางวันคนเยอะมาก

เราเริ่มหิว ไม่เริ่มแหละ หิวเลย เดินผ่าน Family mart เลยเดินเข้าไปจะซื้อน้ำเปล่า ความฮาเริ่มมา มาประเทศเค้าก็ขอกินน้ำประเทศเค้าหน่อยละกัน เราไปหยิบน้ำมาขวดนึง ทั้งขวดฉลากเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย ก็คิดว่าน้ำเปล่า ใสกิ๊งทั้งขวด ก็หยิบมาสิ ถือไปจ่ายตังค์
ป้าแคชเชียร์: No water , No water (พร้อมโบกมือหยอยๆ ส่ายหน้า)
เรา :  อ้าว!  งานงอกละ หยิบอะไรมากินวะเนี่ย ฮ่าๆ เลยบอกป้าไปว่า งั้นไอขอเปลี่ยนละกันนะ
เดินเอาขวดน้ำไปไว้ที่เดิม เลยดูขวดอื่น มีเขียนเป็นภาษาอังกฤษ Mineral water เออ เอาอันนี้แหละ น้ำเปล่า ชัวร์!! ฮ่าๆ  เลยหยิบไปจ่ายตังค์  ร้านค้าปิดหมดแล้ว ไม่เหมือนตอนกลางวัน เงียบมาก ลมพัดหนาวมาก เจอแมคโดนัล ฝากท้องที่แมคละกัน ขี้เกียจเดินแล้ว อยากกลับไปอาบน้ำ นอนแล้ว กินแมคเสร็จ เดินผ่านโคมแดงมาเป็นถนนนากามิเสะ เป็นถนนที่ขายของ ขนม ของฝากที่วัดเซ็นโซจิ ค่ำแล้วปิดไปหลายร้านแล้ว


แต่ร้านซาลาเปาทอดในตำนานยังไม่ปิด คนน้อยดี เลยซื้อมาชิม รสอะไรไม่รู้ ถั่วแดงมั้ง มีหลายรส เรายืนชี้ๆ คนขายก็หยิบใส่กระดาษให้ ไม่ใช่ถุงพลาสติก ดีอ่ะ ลดโลกร้อน ย่อยสลายง่ายด้วย กระดาษเป็นภาษาญี่ปุ่น อ่านไม่ออกจ้า อร่อยอยู่นะ อากาศหนาวๆกับซาลาเปาทอดอุ่นๆ




 ตอนกลางวันนี่คนเยอะมาก ถ้าใครมาเที่ยววัดเซ็นโซจิ เค้าบอกว่าต้องแวะมากินซาลาเปาทอดร้านนี้นะ
1 ทุ่มแล้ว วัดเงียบมาก ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย มีแค่เราที่เดินกลับที่พัก ไม่น่ากลัวเลย ไม่กลัวว่าจะโดนจี้ปล้นด้วย โตเกียวปลอดภัยมากๆ


เรากลับถึงห้อง อาบน้ำ สระผม ชาร์จแบตโทรศัพท์เข้าเน็ทดูพยากรณ์อากาศที่ Kawaguchiko ว่ามีหิมะตกมั้ย ปรากฏว่าในเว็บบอกว่า Sunny เฮ้อ! จะได้เล่นมั้ย หิมะอ่ะ > < 
สามทุ่ม เอนรี่ แฟนเพลงชาวนอร์เวย์ของเรา(เค้าเคยฟังเพลงที่แกเล่นรึยัง ฮ่าๆ) ก็กลับมา คุยกันว่าวันนี้ไปไหนมาบ้าง แล้วพรุ่งนี้จะไปเที่ยวไหน

เรา : พรุ่งนี้ไอจะไปKawaguchiko แต่ในเว็บบอกว่าอากาศดี ไอไปถามคนขับรถบัสวันนี้ เค้าก็บอกไอว่าหิมะน่าจะละลายไปหมดแล้ว ถ้าอยากเห็นหิมะ ก็อยู่บนยอดฟูจิไง ยอดฟูจิก็มีหิมะ ไอเลยบอกว่า ไออยากสัมผัส ไออยากปั้นsnow man
เอนรี่ : แล้วยูรู้มั้ยว่าหิมะใกล้โตเกียวมีที่ไหนอีก
เรา :  ก็มีที่ Nikko, Kuruizawa ,Takayama, Shirakawago  แต่ไอมาญี่ปุ่นครั้งแรก ไอจะงง แต่ Kawaguchiko จะไปง่ายนั่งบัสจากShinjukuไปได้ ไม่ไกลมาก ถ้ามาญี่ปุ่นเดือนมกรา ช่วงที่มีหิมะตกหนัก ไอกลัวไอเป็นไข้ ร่างกายปรับไม่ทัน ไทยแลนด์เป็นเมืองร้อน ไอเลยเลือกมาเดือนนี้

เอนรี่ ดูท่าทางเห็นใจกับการตามหาหิมะของเรามาก เอนรี่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง บอกให้ไปเล่นเมืองอื่นก็ไม่ไป ก็ไอหาข้อมูลมาแค่นี้ แถมแลกตังค์มาพอดีอีก ถ้าเปลี่ยนเมืองค่าใช้จ่ายจะบาน เราก็เลยยืนยันที่จะไปKawaguchikoอยู่ดี เอนรี่เอารูปในเฟสบุคให้เราดู พ่อของเอนรี่เพิ่งอัพรูปหิมะตกที่นอร์เวย์ตอนนี้ หิมะตรึมมากๆ  เราเห็นรูปแล้วบอกเอนรี่ว่า ไออยากไปนอร์เวย์เดี๋ยวนี้เลย ฮ่าๆ ก็เลยบอกว่าพรุ่งนี้ไอจะตื่นไปขึ้นรถแต่เช้า ขอโทษด้วยถ้าไอทำเสียงดังรบกวนยูนะเอนรี่
ก็เลยปิดไฟ กำลังจะนอนเลยนอนคิด รู้ว่าไม่มีหิมะแล้วจะไปอยู่เหรอ เอาโทรศัพท์มาเปิดดูพยากรณ์อากาศอีกที  คืนวันเสาร์จะมีหิมะตก ยาวไปถึงตอนเช้าวันอาทิตย์ !! แล้วเปลี่ยนเป็นฝนตกทั้งวัน !! เอาเว้ยเฮ้ย!! บินมาไกล ต้องเอาให้สุด ฟูจิไม่เน้น เราเน้นหิมะ เราเปลี่ยนแผน พรุ่งนี้เราจะไปเปลี่ยนตั๋ว

พรุ่งนี้เราไม่ไป Kawaguchiko!!


ไปต่อกันที่ >> EP. 3.1 around Tokyo (1)  คลิก>>http://arrowinjapan.blogspot.com/2015/03/ep31-around-tokyo-1.html

Facebook : https://www.facebook.com/Journey-of-Arrow-1161356250559423/?fref=ts